การจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลก


จากสำนักการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกจากประเทศอังกฤษอย่าง QS World University Rankings 2014/15 (Quacquarelli Symonds) ทำให้เราทราบผลอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก, มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเอเชีย และรวมไปถึง อันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในประเทศไทยอีกด้วย มีมหาวิทยาลัยใดบ้างไปติดตามกัน...

10 อันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก ประจำปี 2014/15 ได้แก่

อันดับ 1 : Massachusetts Institute of Technology (MIT)
อันดับ 2 : University of Cambridge
อันดับ 2 : Imperial College London
อันดับ 4 : Harvard University
อันดับ 5 : University of Oxford
อันดับ 5 : UCL (University College London)
อันดับ 7 : Stanford University
อันดับ 8 : California Institute of Technology (Caltech)
อันดับ 9 : Princeton University
อันดับ 10 : Yale University

โดยผลจาก 10 อันดับของมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลกในปีนี้ อันดับ 1 ตกเป็นของ MIT แชมป์เก่า 3 สมัย ยังคงมาตรฐานเหมือนเดิม และในปีนี้มีอันดับ 2 ร่วมกันถึง 2 มหาวิทยาลัยคือ University of Cambridge และ Imperial College London ทำผลงานได้ดีในปีนี้ จึงทำให้อันดับเพิ่มขึ้นมาจากปีที่แล้ว คืออันดับ 3 และอันดับ 5 ตามลำดับ เขี่ยอันดับ 2 (ปีที่แล้ว) อย่างมหาวิทยาลัย Harvard University ให้ตกมาอยู่ที่อันดับ 4

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ >>> http://www.topuniversities.com/university-rankings/world-university-rankings/2014#sorting=rank+region=+country=+faculty=+stars=false+search=

10 อันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเอเชีย ประจำปี 2014/15 ได้แก่

อันดับ 1 : National University of Singapore (NUS) (อันดับที่ 22 ของโลก)
อันดับ 2 : University of Hong Kong (อันดับที่ 28 ของโลก)
อันดับ 3 : The University of Tokyo (อันดับที่ 31 ของโลก)
อันดับ 3 : Seoul National University (อันดับที่ 31 ของโลก)
อันดับ 5 : Kyoto University (อันดับที่ 36 ของโลก)
อันดับ 6 : Nanyang Technological University (NTU) (อันดับที่ 39 ของโลก)
อันดับ 7 : The Hong Kong University of Science and Technology (อันดับที่ 40 ของโลก)
อันดับ 8 : The Chinese University of Hong Kong (อันดับที่ 46 ของโลก)
อันดับ 9 : Tsinghua UniversityTsinghua University (อันดับที่ 47 ของโลก)
อันดับ 10 : KAIST - Korea Advanced Institute of Science & Technology (อันดับที่ 51 ของโลก)

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ >>> http://www.topuniversities.com/university-rankings/world-university-rankings/2014#sorting=rank+region=71+country=+faculty=+stars=false+search=

สำหรับอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเอเชีย ประจำปี 2014/15 อันดับหนึ่งยังคงเป็นมหาวิทยาลัย NUS จากประเทศสิงคโปร์ ที่ยังคงครองแชมป์ พร้อมกับอันดับโลกที่สูงขึ้นจากอันดับที่ 24 มาเป็น 22 และอันดับสองตกเป็นของ University of Hong Kong ซึ่งขึ้นมาจากอันดับที่ 3 ในปีที่แล้ว ส่วนอันดับ 2 ของปีที่แล้วอย่าง KAIST จากประเทศเกาหลี มาในปีนี้หลุดไปอยู่ในอันดับที่ 10 อย่างแทบไม่น่าเชื่อว่าจากอันดับ 2 จะลงมาถึงอันดับ 10 ในปีนี้ได้

มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในประเทศไทย ประจำปี 2014/15 จากการจัดอัดดับโลก ติดอันดับอยู่เพียง 8 มหาวิทยาลัยเท่านั้น ได้แก่

อันดับ 1 : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อันดับที่ 243 ของโลก)
อันดับ 2 : มหาวิทยาลัยมหิดล (อันดับที่ 257 ของโลก)
อันดับ 3 : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (อันดับที่ 501-550 ของโลก)
อันดับ 4 : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อันดับที่ 601-650 ของโลก)
อันดับ 5 : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (อันดับที่ 651-700 ของโลก)
อันดับ 6 : มหาวิทยาลัยขอนแก่น (อันดับที่ 701 ของโลก)
อันดับ 7 : มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (อันดับที่ 701 ขึ้นไปของโลก)
อันดับ 8 : มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (อันดับที่ 701 ขึ้นไปของโลก)

โดยมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในประเทศไทยตกเป็นของแชมป์เก่า "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" ตกจากอันดับที่ 239 ของโลกในปีที่แล้ว และมหาวิทยาลัยมหิดลอันดับสูงขึ้น จาก 283 ของโลก มาเป็นอันดับที่ 257 ในปีนี้ด้วย แต่อันดับโดยรวม 1-8 ยังคงเหมือนเดิม

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ >>> http://www.topuniversities.com/university-rankings/world-university-rankings/2014#sorting=rank+region=71+country=131+faculty=+stars=false+search=

สำหรับ ระเบียบวิธีวิจัยในการจัดอันดับของ QS World University Rankings® ประกอบด้วย 6 ตัวชี้วัด ดังนี้

1. Academic reputation (40%) ชื่อเสียงทางวิชาการ จากการสำรวจของ QS Global Academic Survey
2. Employer reputation (10%) ชื่อเสียงจากนายจ้าง จากการสำรวจผ่าน QS Global Employer Survey
3. Student-to-faculty ratio (20%) อัตราส่วนจำนวนนักศึกษาต่อจำนวนอาจารย์
4. Citations per faculty (20%) จำนวนงานวิจัยที่ถูกนำไปใช้อ้างถึง จากฐานข้อมูลของ Scopus
5. International faculty ratio (5%) อัตราส่วนจำนวนอาจารย์ต่างประเทศ/นานาชาติ
6. International student ratio (5%) อัตราส่วนจำนวนนักศึกษาต่างประเทศ/นานาชาติ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น